รีวิว เริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก เล่ม 4
ผู้แต่ง WU ZHE
ผู้แปล โหมวโหม่ว
ผู้วาด Mocon
สำนักพิมพ์ Lavender Publishing
ความเดิมเริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก เล่ม 3
เจี่ยงเฉิง เริ่มรู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ในเมืองเก่าแห่งนี้ โดยมีตัวตนของกู้เฟยอยู่เคียงข้างอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหัวเราะของเพื่อนรอบตัวเองก็เริ่มดึงเขาสู่ตัวตนเดิม จนกระทั่งสายเรียกเข้าของอดีตคนที่คิดว่าเป็น ‘แม่’ โทรมาเล่าเรื่องพ่อที่แท้จริงของเขาโทรไปยืมเงินอีกฝ่ายโดยอ้างว่าเป็นค่าเลี้ยงดู ‘เขา’ ให้ฟัง อารมณ์ที่ดีของเจี่ยงเฉิงพลันแตกสลายไปในพริบตา กู้เฟยกลับเข้าใจเขาเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายจึงพาเจี่ยงเฉิงไปที่ลับของแก๊งเขา และอยู่พูดคุยกับเจี่ยงเฉิงทั้งคืน…ใครจะคิดว่าพวกเขาจะข้ามเส้น ‘เพื่อนร่วมโต๊ะ’ กันที่นี่…ยามเช้ามาเยือนอิทธิพลแอลกอฮอล์บาง ๆ ที่เสริมความวู่วามเลือนหาย แม้เจี่ยงเฉิงจะอยากระเหิดไปในอากาศ แต่กู้เฟยเข้าใจเขาพอที่จะทำตัวปกติ ทว่าในความปกติ ความรู้สึกใกล้ชิดก็ก่อตัวขึ้นเกินกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะต่างปิดบังกันและกันไม่ได้ ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปยังคงไม่ชัดเจน แต่ความสัมพันธ์พ่อลูกของเขากับหลี่เป่ากั๋วกระจ่างแล้วว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ เจี่ยงเฉิงก้าวออกมาจากห้อง ๆ นั้น พร้อมยื่นคำขาดว่าต่อจากนี้ เขาเป็นเด็กกำพร้า ในจังหวะชีวิตที่สับสนวุ่นวาย กู้เฟยยังคงเป็นคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ความรู้สึกอุ่นใจนี้ทำให้ความไม่ชัดเจนในความรู้สึกที่มีพผลักดันให้เจี่ยงเฉิงอยากลองก้าวออกไปยังโลกของอีกฝ่ายมากขึ้น …แท้จริงแล้วตัวตนอันธพาลน้อยที่ไม่มีใครกล้ายุ่งแห่งนี้เป็นอย่างไรกัน?
ขอคัดฉากประทับใจในเล่มมาพิมพ์ไว้นะคะ แบบว่า ดีมากจริง ๆ ค่ะ 💖
มีสปอยล์เนื้อเรื่องนะคะะ ใครยังไม่อ่านไว้แวะมาหวีดฉากด้วยกันอีกทีได้ค่ะ 😀💓
เริ่มเลยเนอะคะะ
“วันนี้มองฉันเกินไปหน่อยหรือเปล่าคุณแฟน”
“ทำนายไม่มองฉัน”
“ฉันชอบให้นายมองฉันแบบนี้แหละ”
“ทำไมล่ะ”
เจี่ยงเฉิงฟุบลงกับโต๊ะพร้อมถามเสียงเบา
“สบายใจ”
‘ฉันอยากวิ่งโลดแล่นอย่างอิสระในสายตาของเธอ
ฉันอยากนั่งมองเผลอเพียงอึดใจก็ถึงยามแก่เฒ่า’
กู้เฟยความจริงก็เป็นคนที่ต้องการความรักมาก ๆ คนหนึ่งเลยนะคะ ชอบอยู่ในสายตา ชอบให้ชื่นชม ขณะเดียวกัน ก็โอบกอดคนที่เขาต้องการปกป้องเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างดี ส่วนเฮียเฉิงเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนที่รักมาก ๆ คนหนึ่งจริง ๆ ค่ะ รักแบบมองเห็นทุกข้อดี และทั้งคู่ต่างก็แบบ แค่มีนายอยู่ตรงนี้ก็สุขใจแล้ว //ซึ่งง
“กู้เฟย”
“หืม ?”
“ขอกอดหน่อย” เจี่ยงเฉิงพูด “ทำไมฉันรู้สึกกลัวนิด
ๆ นะ”
“มาแล้ว” กู้เฟยหัวเราะแล้วล้มนอนข้าง ๆ
พลางยื่นแขนมาสวมกอดและลูบศีรษะเขาไปด้วย
“โอ๋ ๆ นะอย่ากลัวไป”
“นี่…บางครั้งฉันก็อยากจับแก้มนายแล้วขยำไปขยำมาแรง
ๆ นะ บางครั้งเห็นใครก็อยากจับตัวมาแล้วถามว่ารู้จักกู้เฟยไหม รู้รึเปล่าเขาไม่เป็นอย่างที่นายคิดน่ะ
ฮ่า ๆ ๆ ๆ มีแต่ฉันที่ได้เห็นนะ”
“ความจริงฉันก็อยากทำแบบนี้เหมือนกัน”
กู้เฟยพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่มีใครรู้ว่าคนสอบได้ที่หนึ่งของชั้นลับหลังเป็นคนยังไง
มีแค่ฉันที่รู้”
“อีกอย่างน่ะ …พูดไม่ถูก
ฉันไม่ได้อยากให้คนอื่นคิดว่านายเป็นแค่ลูกพี่ใหญ่สุดเจ๋งคนนึง ทั้งที่นายยอดเยี่ยมมาก…ฉันดูปัญหาอ่อนดีใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงเฉิงถอนใจ “เมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นแบบนี้
นายต้องจำข้อนี้ให้ดี ๆ”
ทั้งที่ยอดเยี่ยมมากแท้ ๆ …กู้เฟยไม่ได้พูดอะไรอีก
มันอาจคล้ายที่เขารู้สึกภูมิใจทุกครั้งที่เห็นมุมมองใหม่
ๆ จากตัวเจี่ยงเฉิง เจี่ยงเฉิงเองก็คงคิดเหมือนกัน…
…แต่บางครั้งเขาก็ไม่อยากคิดมาก
ทุกครั้งที่ได้เห็นมุมใหม่เพิ่มขึ้นอีกนิด ก็จะรู้สึกมากขึ้นอีกหน่อย
และมันทำให้เขารู้สึกเหมือนห่างเหินยิ่งกว่าเดิม
จะยิ่งคิดว่าคนแบบนี้ไม่ควรเปล่งประกายอยู่ในบ่อโคลน
เจี่ยงเฉิงไม่ควรจมอยู่ในบ่อโคลน
กู้เฟยมองรอยยิ้มมุมปากของเจี่ยงเฉิง
รอยยิ้มที่ฉายให้เห็นในแววตา
มีเพียงเวลาเห็นรอยยิ้มแบบนี้เท่านั้นที่เขาจะสลัดความคิดอื่น ๆ ออกไปก่อน
บางทีเจี่ยงเฉิงอาจไม่ได้คิดถึงจุดนี้
ถ้าหากวันหนึ่งพวกเขาจากกันไป เลิกรากันไป แล้วควรทำอย่างไรกับรอยบนตัวนี่ดี
คนที่เคยปรากฏอยู่ในอดีตอันแสนสั้นช่วงหนึ่ง แต่กลับทิ้งรอยไว้บนตัวคุณตลอดชีวิต
เรื่องแบบนี้เจี่ยงเฉิงคงไม่เคยคิดเผื่อไว้…
ความจริงเขาไม่ได้ยึดติดอะไรกับการสักรอยเขี้ยวนั่นนักหรอก
เหตุผลที่คิดจะสัก เพราะเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ทำเรื่องแบบนี้ อย่าว่าแต่สักเลย
แม้แต่จี้หินที่พันจื้อให้มา เสิ่นอีชิงยังไม่อนุญาตให้เขาแขวนคอเป็นสร้อยเสียด้วยซ้ำ
แถมเกือบให้เขาเอาไปคืนพันจื้อด้วย
เขาย่อมมีความสุขอยู่แล้วที่กู้เฟยยอมทำอะไรโง่
ๆ ด้วยกันและปัจจัยที่ทำให้เขาเกิดอยากอาหารขึ้นมาก็คือประโยคที่ว่า ‘ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น’
บางทีคนเราก็น่าแปลกแบบนี้
แปลกที่พึงพอใจได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีหลักฐานอะไรมาสนับสนุน ไม่ต้องมีตรรกะ
ขอแค่คำพูดคำเดียว ขอแค่อีกฝ่ายพูดปากเปล่าก็สร้างความสุขได้แล้ว
“กู้เฟย” เจี่ยงเฉิงผละออกแล้วกระซิบชิดข้างหู “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่
ต่อให้อนาคตเราไม่ได้คบกันแล้ว ฉันก็จะทิ้งสัญลักษณ์ไว้บนตัวนายอยู่ดี
ไม่สนว่าใครจะเห็นแล้วต้องรู้ว่านี่เป็นของฉันด้วย
เสวียป้าอย่างเราไม่มีเหตุผลแบบนี้แหละ”
“เฮ้ !” กู้เฟยสะดุ้งกับการกระทำอันฉุกละหุกของเขา
ถึงขนาดเผลอขยับเข้าเอาตัวมาบังอัตโนมัติ “นายทำอะไร”
“กัดสิ”
เจี่ยงเฉิงโยนกางเกงไปด้านข้างแล้วนั่งบนเตียง
ถอดรองเท้าก่อนจะยกขาขวาเหยียบบนเตียง “มาสิพ่อหนุ่มคนนี้”
กู้เฟยมองไปข้างนอกห้องแวบหนึ่งแล้วกระแอมไอ
“เร็วหน่อย…กระแอมอะไรนี่
ท่านคิดจะขับเสียงร้องสักเพลงเหรอ”
“มาแล้ว” กู้เฟยมองเขาแล้วอยู่ ๆ
ก็ย่างสามขุมมาผลักตัวเขาไปด้านหลัง
ก่อนจับหัวเข่าของเขากดไปด้านข้างแล้วก้มหน้ากัดเนื้อจนจมเขี้ยว
…
“นายรู้ไหม บางคนน่ะนะ”
กู้เฟยก้มลงกระซิบชิดหูเขา “จะใช้วิธีต่าง ๆ นานที่นายสมยอม
หรือไม่สมยอมก็ตามเพื่อให้มันฝังอยู่ในความทรงจำของนาย อย่างเช่นฉัน”
“แต่งกลอนหรือไง” เจี่ยงเฉิงหัวเราะ
“ขอทำตัวเลี่ยนหน่อยน่า”
กู้เฟยหันขวับมองไปด้านนอกแล้วรีบโฉบลงกดจูบบนริมฝีปากเจี่ยงเฉิงแรง ๆ หนึ่งที
กู้เฟยขมวดคิ้วเป็นปมแน่นแล้วแหวกกลุ่มคนด้านหน้าออกก่อนพุ่งตัวไปยังชั้นบนของตัวอาคาร…อาคารเก่า ๆ หลังนี้สูงเพียงไม่กี่ชั้น ทว่าคนที่กลัวความสูงถึงขนาดอยู่บนตึกดาดฟ้าชั้นห้ายังอาเจียนได้อย่างเจี่ยงเฉิง
ระดับความสูงเท่านี้เพียงพอทำให้เขาอาเจียนคาที่ได้เลย…
…
หลังสมองขาวโพลนไปชั่วครู่
กู้เฟยก็พุ่งเข้าไปกอดเจี่ยงเฉิงเอาไว้และใช้มือปิดตาของอีกฝ่ายไว้
ร่างกายของเจี่ยงเฉิงแข็งทื่อไปหมด
แต่กลับทำตามคำสั่งการเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตัดแหล่งจ่ายไฟได้อย่างน่าประหลาด
เขาปิดตาอีกคนพร้อมกึ่งพลักกึ่งโอบออกจากบริเวณบันไดเจี่ยงเฉิงเคลื่อนไหวตามเขาอย่างกับเคลื่องกลโดยไร้สุ่มเสียงและปราศจากท่าทีดิ้นรนต่อต้านใด
ๆ
กู้เฟยนั่งเล่นกล้องอยู่อีกฟากตั้งแต่ต้นและไม่ค่อยสนใจว่าช่างจะแต่งหน้าให้เจี่ยงเฉิงไปถึงไหนเท่าไหร่
แต่แล้วอยู่ ๆ เจี่ยงเฉิงก็หันมาหา
เขาที่กำลังยื่นทิชชูให้จึงกวาดตามองหน้าเจี่ยงเฉิงไปด้วยแวบหนึ่ง
แต่กลับกลายเป็นว่ามือเกือบอ่อนยวบทำกล้องร่วงตกพื้น
…
บางทีอาจเป็นเพราะติดฟิลเตอร์ของแฟนหนุ่มขนาดมหึมาพอเห็นเจี่ยงเฉิงในรูปแบบนี้ก็มีแต่จะเร่งให้หัวใจเต้นรัว
ครั้งเจี่ยงเฉิงรับทิชชูไป
เขาก็รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้วแล้วกรอกเข้าปากเพื่อกลืนหัวใจลงไป
มีคนมาทำงานแล้วมือไม้อ่อนอีกแล้วค่ะ 555555555
“พ่อหนุ่มคนนี้” เจี่ยงเฉิงยกนิ้วจิ้มปลายคางเขา
“ตอนนี้ถ้านายจูบฉันทีหนึ่งคนข้างนอกต้องรู้กันหมดแน่”
กู้เฟยครุ่นคิดตาม ก่อนก้มหน้าจูบซอกคออีกฝ่าย
“ฉันขอเตือนนายนะ” เจี่ยงเฉิงโอบกอดเขา “ถ้านายกล้ากัด
ฉันก็กล้าต่อยนาย”
กู้เฟยเงยหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียงหัวเราะ
จากนั้นหยอกเย้าว่า
“พ่อหนุ่มคนนี้
มีจุดอ่อนทั้งตัวยังกล้ามาท้าทายอีกเหรอ”
ชอบการหยอกเย้าของสองคนนี้มากกกกกกกก เลยค่ะ อ่านไปจะเจอหลายฉากที่เขาจะต้องแตะ ต้องทัชกันเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบบ น่ารักกกกก
กู้เฟยเดินไปพร้อมกับผิวปากตามเสียงดนตรีคล้ายเสียงจิ้งหรีดร้อง
ฟังแว่ว ๆ แล้วนึกอยากหัวเราะออกมาเล็กน้อย
สุขสันต์วันเกิดเฮียเฉิง
หวังว่านายจะมีความสุขแบบนี้ตลอดไป
สุขสันต์วันเกิดเฮียเฉิง
หวังว่านายจะยิ้มสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ตลอดไป
สุขสันต์วันเกิดเฮียเฉิง
หวังว่าอนาคตถ้านายหวนนึกถึงช่วงเวลานี้จะไม่เสียใจภายหลัง
สุขสันต์วันเกิดเฮียเฉิง
...ยังไง...ยังไง ภาพอนาคต กู้เฟยก็ 😭
‘ฉันอยากนั่งมองเผลอเพียงอึดใจก็ถึงยามแก่เฒ่า’
“แม่ง”
เจี่ยงเฉิงร้อนผ่าวตรงขอบตาขึ้นมาฉับพลัน เขาอ่านข้อความฉบับนี้มาหลายต่อหลายครั้ง
ทุกครั้งที่เปิดโน๊ตก็จะมองเห็นตลอดแต่ไม่เคยเป็นอย่างตอนนี้ที่จู่ ๆ
ก็ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ขึ้นมา
“เล่าจบแล้ว” กู้เฟยคีบบุหรี่ออกจากปาก “กอดหน่อยเฮียเฉิง”
เจี่ยงเฉิงชะงักเล็กน้อย
ก่อนรีบโผเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายไว้ทันที
“ฉันไม่น่าถามเลย แม่ง ความจริงฉันน่ะไม่ใช่คนที่จะต้องขุดเอาเรื่องในอดีตของนายออกมาให้ได้หรอก
ฉันแค่…ฉันแค่…”
“นายก็แค่หึง” กู้เฟยหันหน้ามาซบไหล่เขา
“ใช่…” เจี่ยงเฉิงถอนหายใจ
…
“แต่มีเรื่องนึงที่ฉันต้องพูดหน่อย”
เจี่ยงเฉิงกล่าว “คราวหลังนายอย่าทำหน้าบึ้งใส่ฉัน นายจะโกรธหรือไม่สบอารมณ์ก็ได้
แต่มาสู้กันสักตั้งยังดีกว่าทำตัวเย็นชาใส่กัน ฉันน่ะ…กลัวเวลาโดนคนเพิกเฉยใส่ที่สุด
เมื่อก่อนตอนอยู่บ้าน เวลาพวกเขาไม่อยากว่าฉันก็จะทำหน้าเย็นชาใส่
ไม่มีใครสนใจฉันเลย ความรู้สึกแบบนั้นมัน…อึดอัดมาก ๆ”
“เข้าใจแล้ว”
“นายคงไม่คิดจะรักกันตลอดไปหรอกนะ กับกู้เฟย”
เจี่ยงเฉิงหยิบบุหรี่มาจุดโดยไม่ตอบทันที
หลังสูบไปได้สองคำก็เคาะบุหรี่แต่กลับไม่มีอะไรร่วงลงมา
“ไม่ได้เหรอ”
“เป็นไปได้เหรอ” พันจื้อย้อนถาม
เป็นจุดถามเปิดปมที่นำพาสู่ความเข้มข้นถัดไป...แต่ก็เห็นชัดว่าเจี่ยงเฉิงมองแต่ภาพที่มีกู้เฟยอยู่กับตัวเองมาตลอดเลยค่ะ
เขาต้องการคำตอบเดียว
ไม่ได้ต้องการคำอธิบายมากมาย เขาต้องการเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
ฉันเคยคิดว่าอยากอยู่ด้วยกันกับนายในอนาคต
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน…
แค่นี้เอง
บางทีเขาอาจจะไหลไปตามระบบความคิดที่เคยชินเลยไม่ทันคิดถึงปัญหาในมุมมองกู้เฟยที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เขาต้องการผลลัพธ์ แต่กู้เฟยต้องการพูดถึงขั้นตอน
…หากตั้งผลลัพธ์ไว้แล้วก็เท่ากับว่าทุกขั้นตอนต่างมุ่งเป้าสู่ผลลัพธ์นั้นทั้งสิ้น
ทว่าหากเริ่มจากการวางแผนขั้นตอนก่อนก็อาจก่อให้เกิดผลลัพธ์นับไม่ถ้วนได้ …กู้เฟย นายคิดไว้เยอะแยะอย่างนี้แล้วคิดอะไรไว้บ้างล่ะ…
“กู้เฟย” เจี่ยงเฉิงเอ่ยขัดทันควัน “นายเคยถามฉันว่าอยากคบกับนาย
หรืออยากคบกับนายสักครั้งใช่ไหม”
“อืม” กู้เฟยกุมมือเขา
“แต่ก่อนฉันคิดแล้วว่าทำไมนายถึงถามฉันอย่างนั้น
ตอนนี้ฉันรู้แล้ว คนที่อยากคบคือตัวฉัน ส่วนคนที่อยากคบกันสักครั้ง”
เจี่ยงเฉิงชักมือออกแล้วชี้ตัวอีกฝ่าย “คือนาย”
…ฉะนั้นเขาจึงเลือกจมปลัก
ฉันจะชอบนายจนถึงวันที่นายไม่ต้องการอีกแล้ว
ขอเพียงคนที่นายต้องการคือ ‘ฉัน’ ไม่ใช่คนอื่น ฉันพร้อมเสมอ…
…
…สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
คือเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเจี่ยงเฉิง เป็นสภาวะที่อยากคว้าไว้ให้แน่นเพราะกลัวสูญเสียตลอดเวลา
และเขาสัมผัสได้ถึงมันบ่อยครั้งเสียด้วย
กู้เฟย
ทุกประโยคที่นายพูดตอนนี้จะกลายเป็นหลักฐานที่ฝั่งใจของเจี่ยงเฉิง …รอบคอบนะ
เขารู้นิสัยเฮียเฉิงจริง ๆ ค่ะ และเป็นคนคิดทุกอย่างเผื่อไว้ คือ...เฮ้อ! สองคนนี้จะหาทางออกกันยังไงนะคะ ลุ้นนนนน
“ทีแรกฉันคิดว่าคำพูดของนายเป็นคำพลอดรักที่ฟังเผิน
ๆ แล้วความหมายดี แต่กลับคิดลึกไม่ได้”
“หืม ?” กู้เฟยยกแขนที่กดตรงลำคออีกฝ่ายออกแล้วก้มหน้าลงไปกดจูบ
“ความจริงนายหมายถึงถ้าฉันเลิกกับนาย
นายก็จะตกลงสินะ” เจี่ยงเฉิงสบตา “อำนาจตัดสินใจอยู่ที่ฉัน” กู้เฟยไม่ตอบอะไร
นอกจากก้มหน้าลงไปกดจูบอีกครั้ง
“ดูเหมือนอำนาจการตัดสินใจจะอยู่ที่ฉัน
ความจริงท่านก็ไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระตุ้นเลยสักนิด” เจี่ยงเฉิงมองค้อน “ไปมาสบายไม่มีอะไรกีดขวางเลยสินะ”
กู้เฟยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนบอกว่า “ถ้านายไม่อยากคบกับฉันจริง
ๆ ต่อให้ฉันตามตื้อให้ตายก็ไร้ความหมายนี่นา”
“ก็พูดแบบนั้นอยู่หรอก…”
เจี่ยงเฉิงแหงนหน้ามากัดปลายคางอีกฝ่าย…กู้เฟยสะดุ้งทว่าไม่กล้าขยับตัว…
“…ฉันไม่ได้คิดครอบคลุมเท่านาย
ฉันคิดแค่ว่าค่อย ๆ เดินไปทีละก้าว มีปัญหาอะไรก็แก้ปัญหานั้น
คนเราต้องมีเป้าหมายสักอย่าง ความสัมพันธ์ก็ดี ชีวิตก็ดี มันต้องมีทิศทาง
นายถึงจะรู้ว่านายทำอะไร…ฉันเป็นคนแบบนี้”
“…ฉันจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว
ฉันมีอย่างเดียว นายสัญญากับฉัน” เจี่ยงเฉิงสอดประสานสายตา
“นายว่ามา” กู้เฟยสบตาตรง ๆ
“อย่าให้ฉันหนี” เจี่ยงเฉิงเอ่ย “อย่าให้ฉันพูดว่า
พอเถอะ แล้วนายก็เดินจากไปอย่างสบายใจ นายต้องตื้อสักหน่อย…ได้ไหม
ถ้าเกิดฉันเสียใจทีหลังขึ้นมาแล้วหันกลับมานายไม่อยู่ตรงนั้นล่ะ จะทำยังไง”
ทันใดนั้นกู้เฟยรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาเล็กน้อย…
“ได้” เขาพยักหน้ารับ “แต่นายก็ต้องสัญญากับฉัน”
…
“ฉันไม่ชอบให้ใครเสียสละเพื่อฉัน
หรือทอดทิ้งบางอย่างเพื่อฉัน…ฉันไม่ต้องการ
เส้นทางของนายนั่น ถ้าควรเดินก็ขอให้เดินต่อไปอย่าหยุด นายเข้าใจความหมายของฉันไหม
เห็นใจ ทอดทิ้ง สิ่งเหล่านี้จะกดดันฉัน จะรู้สึกเหนื่อย”
“เข้าใจแล้ว” เจี่ยงเฉิงบีบคางเขา “ฉันเป็นคนหนักแน่นมากนะ”
“ความจริงก็ใช่ว่าฉันต้องอารมณ์เสียให้ได้หรอก
ฉันแค่…กลัว”
“ฉันรู้” กู้เฟยลุกขึ้นนั่งแล้วถูหลังเขาไปมา “ฉันรู้”
“นายรู้ไหมกู้เฟย” เจี่ยงเฉิงเขียนไปเรื่อยพร้อมกับพูดด้วยสุ่มเสียงที่เบาลงเล็กน้อย
“ฉันไม่มีบ้านแล้ว ฉันอยู่ตัวคนเดียว ที่นี่ ในห้องเช่าห้องนี้ ไม่มีอะไรเหลือแล้ว”
“พอฉันเอนไปเจอนายอยู่ข้างหลัง ฉันก็สบายใจ…ฉันไม่ได้จะไม่เผชิญหน้ากับความจริง ฉันแค่คิดว่าถ้าไม่มีนายอยู่ข้างกัน
ฉันก็ก้าวพลาดลอยคว้างจริง ๆ แล้ว”
…
“ฉันอยู่นี่ อยู่ข้างหลังนายไม่ไปไหนทั้งนั้น”
กู้เฟยบอก “อย่ากลัว”
“อืม” เจี่ยงเฉิงหัวเราะ
กู้เฟยหลับตาลง ปล่อยเป็นแบบนี้เถอะ
เรียนรู้จากเจี่ยงเฉิง เรื่องบางเรื่องอย่าพึ่งไปคิดถึงมัน…ความทรงจำแสนงดงาม
ประสบการณ์ที่ดี บางทีชีวิตอาจะได้ใช้โลดโผนเพียงครั้งเดียว
ตอนที่นายหันกลับมา ฉันจะอยู่ตรงนี้
ตอนที่นายคิดถึงบ้านฉันจะอยู่ตรงนี้ ยืนนานเท่าไหร่ก็ยืนนานเท่านั้น
“ฉันอยาก…นั่งมองเผลอเพียงอึดใจก็ถึงยามแก่เฒ่า…ฉันอยาก…เงยหน้ารับแสงอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ
เธอแค่โอบกอดฉันไว้ ฉันอยากก้าวข้ามผ่านวันและเวลา เหยียบย่ำหนทางความสับสน
ลืมตาขึ้นแล้วเธอจะได้ยิน ฉันอยาก…มีเธออยู่บนไหล่ซ้ายหันมายิ้มให้กันบนไหล่ขวา…ฉันอยากวิ่งโลดแล่นอิสระในสายตาของเธอ ฉันอยาก…นั่งมองเผลอเพียงอึดใจก็ถึงยามแก่เฒ่า”
…
เสียงตัวโน๊ตสุดท้ายสิ้นสุดลงในที่สุด
แต่เจี่ยงเฉิงยังคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม จนกระทั่งกู้เฟยยื่นมืออ้อมโทรศัพท์มาลูบแก้มกันเบา
ๆ เขาถึงพบว่าตัวเองร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ไม่ นี่เรียกว่าร้องไห้ไม่ได้
แค่หลั่งน้ำตา
ในที่สุด เพลง "นอกคอก" ก็สมบูรณ์แล้วนะคะ 😭💓
“กู้เฟย”
“หืม ?”
“หรือว่าไม่ต้องเอาเงินให้ฉันแล้ว…ก็…เก็บไว้ที่นายเถอะ ฝากเก็บให้ฉัน”
กู้เฟยไม่พูดอะไรแต่ขยับปากกาที่คาบอยู่ในปากกระดกไปมากระทั่งผ่านไปพักหนึ่งเจี่ยงเฉิงเห็นอีกฝ่ายกระตุกยิ้มจาง
ๆ อย่างไม่ชัดเจนนัก
“ได้ไหมเล่า” เจี่ยงเฉิงถลึงตาใส่
“เฮียเฉิง” กู้เฟยหมุนปากกาเล่น “ชาติที่แล้วฉันคงทำดีมาไม่น้อย
ชาตินี้ถึงได้มาเจอนาย”
ประทับใจทิ้งท้ายคือความรู้ใจกันดี เจี่ยงเฉิงรู้ว่าถ้าพูดตรง ๆ ว่าเอาเงินส่วนของฉันไปใช้เถอะ กู้เฟยต้องปฏเสธแน่ เลยพูดอ้อมบอกเขา กู้เฟยฟังแล้วก็เข้าใจความหมายถึงกับนิ่งไป...
หวังค่ะ...จริง ๆ นะ ให้เด็กทั้งสองคนมีทางออก
ไม่รู้นอกจากครูอาจารย์ คุณแม่กู้ยังพอฝากความหวังได้ไหม เธอเองก็กลัวจะโดนกู้เฟยทิ้ง ฉากกู้เฟยอ้าแขนให้แม่โผมากอดคือ...เราหวังใจว่าอะไร ๆ จะดีขึ้นค่ะ
นอกจากนี้ ฉากที่เคยเห็นผ่านตาแล้วได้มาหวีดกับคำบรรยายในเล่ม
ฉากเฮียเฉิงเตรียมงานฉลองวันเกิด ดีงามสุด ๆ เลยค่ะ 💘💘💘💘
ยังมีรายละเอียดที่เห็นจากภาพแฟนอาร์ต เช่น ภาพกู้เฟยชอบนั่งซ้อนหลังกอดเอวเฮียเฉิงไว้
หรือภาพเล่นเปียนโน ดีดกีต้าคู่กัน...เป็นอะไรที่มีในเล่มนี้แล้ว และน่ารอคอยในเล่มถัดไปด้วยค่ะ
สุดท้าย หลังจากไม่ได้อัปบล็อกนานมากกก และหลังจากนี้คงยุ่งหัวฟูสุด ๆ มีโอกาสระเบิดพลังความหวีดน้อยมาก ๆ ในช่วงต้นปี ตอนนี้ก็ขอแวะมาแปะไว้รอเล่ม 5 กันสักหน่อยค่ะ ใครที่ตามมาถึงตรงนี้ สามารถแวะหวีดกันได้นะคะ
ส่วนใครบังเอิญเปิดมาเจอ ขอสวัสดีปีใหม่ 2566 ใน Blog มา ณ ตรงนี้ค่ะ
>>RAW
>> Minimore
ชาแดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น