รีวิว เริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก [ฉบับเต็ม]
ผู้แต่ง WU ZHE
ผู้แปล โหมวโหม่ว
ผู้วาด Mocon
สำนักพิมพ์ Lavender
Publishing
เรื่องย่อ
เจี่ยงเฉิง ได้รู้ความจริงว่าตัวเขาเป็นเพียงลูกบุญธรรมที่ทางบ้านรับเลี้ยง
และทันทีที่ความจริงเปิดเผย ทางบ้านก็ไม่ลังเลที่จะส่งเขากลับมายังที่ที่เรียกว่า ‘บ้านเกิด’ ซึ่งมีคนที่ได้ชื่อว่า
เป็นพ่อแท้ ๆ ของเขาอาศัยอยู่ ในช่วงเวลาอันหนาวเหน็บ อากาศในเมืองเก่าและล้าหลังนี้ยิ่งเย็นเฉียบ
ท่ามกลางความแปลกตา
ก็มีความโดดเดี่ยวที่ไม่เหลืออะไรอีกแล้วบนตัวของเจี่ยงเฉิงเช่นกัน แต่แม้ใจเขาจะหงุดหงิดจนเหมือนมีหนามแหลมพร้อมทิ่มแทงทุกคน
เด็กหนุ่มยังคงยื่นมือไปช่วยเด็กหญิงคนหนึ่งที่กำลังถูกรังแกเอาไว้
และนั่นทำให้เขาได้พบกับพี่ชายของเธอ กู้เฟย ใครอีกคนที่เติบโต ณ
เมืองอันห่างไกลนี้ และอาจจะต่างพากันกลับกลายเป็นความบังเอิญที่แสนอบอุ่นเพียงพอให้พากันข้ามผ่านความหนาวเย็นนี้ไปสู่ฤดูใบไม้ผลิที่เปล่งประกายมากขึ้น
เนื้อหานี้เป็นรีวิวเล่าแบบมีสปอยล์มากกนะคะ
ถ้าดูแนวแบบสปอยล์ไม่มาก >> รีวิว เริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก เล่ม 1
พื้นที่รีวิวแบบปลอดสปอยล์
สวัสดีค่ะทุกคนน
ที่ตามมาฉบับเต็ม เหมือนไม่ได้เขียนรีวิวใน Blog นานมาก ส่วนหนึ่ง
เพราะเวลาที่ถูกปรับเปลี่ยน อีกส่วนก็คือ นิยายที่ติดพันจนอยากเขียนฉบับเต็มยังไม่จบกันเลยค่ะ
ส่วนที่จบไปแล้วก็จังหวะไม่ดี หาโอกาสเขียนฉบับเต็มไม่ได้ สำหรับเรื่อง Free Run หรือก็คือ เริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก
เป็นนิยายที่เล่าเรื่องราวของเด็กมัธยมปลายสองคนที่เติบโตมาในครอบครัวไม่ดีเท่าไร
ทางฝั่งเจี่ยงเฉิง ถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวด และออกจะเย็นชา คล้ายกับเขาไม่มีตัวตน
ขณะที่ฝั่งกู้เฟย เติบโตมากับครอบครัวที่พ่อชอบใช้ความรุนแรง ทำให้ชีวิตเขาอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและบิดเบี้ยว
แต่ขณะเดียวกันเขาก็พลักดันตัวเขามาในเส้นทางที่แตกต่างจากพ่อเพื่อแข็งแกร่งเพียงพอปกป้องน้องสาวและแม่
ตัวเอกทั้งสองคนได้บังเอิญพบกัน เพราะเจี่ยงเฉิงได้ช่วยกู้เหมี่ยวเอาไว้ที่สถานีรถไฟขณะเจี่ยงเฉิงกำลังหาทางติดต่อคนที่ได้ชื่อว่า พ่อแท้ ๆ การพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ต่างแยกย้ายกันไป ทว่าก็มีเรื่องให้บังเอิญพบกันอยู่ดี เพราะสภาพบ้านของหลี่เป่ากั๋ว
หรือ พ่อผู้ให้กำเนิดเจี่ยงเฉิงไม่ได้ดีนัก อีกฝ่ายเองก็ใช้วิถีชีวิตกับการพนัน
ใช้ความรุนแรงและกดขี่ผู้หญิง ดังนั้น ร้านขายของชำของกู้เฟยที่อยู่แถวปากซอย
หน้าอาคารที่อยู่อาศัยของพ่อเจี่ยงเฉิง จึงเหมือนเป็นแหล่งหลบภัยเดียวที่เขาพอจะไปได้
และในความบังเอิญอันน่ายิ้มขำนี่เอง…พวกเขาดันเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน
และเป็นเพื่อนข้างโต๊ะกัน ต่างเริ่มถูกดึงดูดด้วยปัญหาชีวิตและครอบครัวจนเริ่มเปิดใจให้กันมากขึ้นเรื่อย
ๆ
คะแนน 9.5 / 10
ถ้าหากกำลังมองหาแนวฝ่าฟันชีวิต
พัฒนาการตัวละครและความสัมพันธ์ค่อย ๆ เติบโต เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องหนึ่งให้ได้ลองหยิบอ่านค่ะ
ส่วนคะแนน 0.5 ที่หักไปก็คงเป็นเรื่องสำนวนในสองเล่มแรกส่วนหนึ่งที่ไม่ลื้นไหลนัก
ส่วนตัวเนื้อเรื่องกับการเก็บปม ส่วนตัวรู้สึกว่าให้เต็มได้ก็คือให้หมดเลยค่ะ
พื้นที่รีวิวแบบสปอยล์มากก (อ่านจบแล้วค่อยกลับมาเม้ากันได้นะคะ)
เริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก สำหรับเรามองว่า
เรื่องราวถูกเล่าด้วยธีมหลัก ‘นายคือความโชคดีในชีวิตของฉัน’ ค่ะ พอมานึกดูแล้ว ตัวชื่อเรื่อง เริ่มใหม่กับนายคงไม่เลวร้ายนัก เป็นคำพูดในเล่มสุดท้าย
ที่กู้เฟยพูดกับเจี่ยงเฉิง ซึ่งเรารู้สึกว่า มันสืบเนื่องมาจากคำพูดติดปากของสองคนนี้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้สารภาพรักต่อกัน
คือ การที่ทั้งคู่ได้มาพบกันเป็นความโชคดีในชีวิตจริง ๆ มุมของเราที่เป็นคนอ่าน พอเนื้อเรื่องจบลง
ก็สัมผัสถึงคำ ๆ นี้ของพวกเขาได้อย่างชัดเจนเลยค่ะ แบบ ยิ้มออกมาตอนอ่านจบว่า “ดีจริง
ๆ ที่พวกเขาได้เจอกัน” ถ้าถามว่าทำไม …เราคงต้องเล่าคำตอบประมาณนี้
ฤดูหนาวที่ไร้บ้าน:
ประมาณ 3 เล่มแรก
พวกเราจะพบกับปมของเจี่ยงเฉิงเป็นหลัก เจี่ยงเฉิงที่ถูกทางบ้านพ่อแม่บุญธรรมทอดทิ้ง
เจี่ยงเฉิงที่ไม่สามารถอยู่กับพ่อแท้ ๆ ที่มีทัศนคติไม่ตรงกันได้ และเจี่ยงเฉิงที่พบเรื่องราวเหล่านั้น
ก็ทำให้เขากลายมาเป็นคนหัวร้อนง่าย เอาแต่โมโห โกรธ พร้อมทิ่มแทงคนอื่นที่เข้าใกล้ด้วยความไม่เป็นมิตร
รวมถึงสภาพจิตใจที่โดดเดี่ยว ไม่รู้สึกถึงการมีตัวตน หรือรอยเท้าของตัวเอง ซึ่งในเวลาเดียวกัน
นักเขียนก็จะมีสถานการณ์ให้เราเห็นอยู่เรื่อย ๆ ว่าโดยพื้นฐานเจี่ยงเฉิงไม่ใช่เด็กวัยรุ่นนิสัยเกเร
เขาอาจจะหัวร้อน แต่ก็มีความอดทนกับคนที่พูดคุยด้วยความหวังดี ใจอ่อนกับคนที่จริงใจและพร้อมทุ่มเทให้กับคนที่สำคัญ
และถึงเจ้าตัวจะตกที่นั่งลำบากอย่างไม่มีใครให้พึ่งพิง
เขาก็ยังก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยคติยึดมั่นว่าไม่ยอมแพ้กับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน
ปรับตัว และมุ่งไปยังอนาคต ความโชคดีของเจี่ยงเฉิงที่ได้พบกับกู้เฟย
เราคิดว่าก็คือ ช่วงแรกนี้แหละค่ะ ในสถานการณ์ไม่มีที่ไป
กู้เฟยก็แบ่งพื้นที่ในร้านให้เขาได้เป็นที่หลบพักชั่วคราว ก่อนจะต้องเดินออกไปเผชิญหน้าสถานการณ์หนาวเหน็บด้านนอก
และถึงจะเป็นความบังเอิญ กู้เฟยก็มักจะยืนอยู่ในจุดที่เขาต้องการมองเห็นใครสักคนเสมอ
พื้นที่เล็ก ๆ เหล่านี้ หรือความลับจากปัญหา หรือการแสดงออกในด้านไม่เป็นผู้ใหญ่ใส่กันต่าง
ๆ นี้ เราคิดว่าเป็นส่วนที่ทำให้เขาเหมือนได้เปิดใจพูดคุย ได้ไร้สาระ ได้กลับมาเป็นตัวเอง
โดยเฉพาะจากกิจกรรมบาส ศักยภาพของการเป็นอดีตกัปตันประจำโรงเรียนของเจี่ยงเฉิงก็ถูกดึงขึ้นมา
ทำให้เขาได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเอง และได้รู้สึกถึงรอยเท้าของตัวเอง ณ เมืองแห่งนี้มากขึ้น
ยิ่งหลังจากสนิทกันกับกู้เฟยมากเข้า เขายิ่งมีกู้เฟยป้องภัยจากสังคมมืดมนของเมืองนี้
จนสามารถมุ่งหน้าไปข้างหน้าอย่างที่วางแผนไว้ได้ ยิ่งทำให้เจี่ยงเฉิงมั่นคง และกลายเป็นพระอาทิตย์ดวงน้อย
ที่ไม่หวาดกลัวฤดูหนาวอีกต่อไปค่ะ
ฤดูใบไม้ผลิที่เคียงข้างกัน:
ระหว่างทางการเล่าเรื่องและแก้ปมปัญหาครอบครัวเจี่ยงเฉิงและตัวเจี่ยงเฉิงเอง
ทางกู้เฟยก็ถูกเผยปมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เล่มแรกค่ะ
แต่เราจะเริ่มสัมผัสปัญหาที่แท้จริงของเขาได้ หลังจากคบกับเจี่ยงเฉิง รอยแผล
ของกู้เฟย ชัดเจนขึ้นช่วง 3 เล่มหลังนี้เอง และเป็นปมใหญ่อีกปมที่ทั้งสองคนไม่สามารถแก้กันตามลำพังได้
เพราะปัญหานี้ ถูกบ่มเพาะจากการถูกทำร้ายโดยครอบครัวตั้งแต่เด็ก ความโชคดีของกู้เฟย
คือ การได้พบกับเจี่ยงเฉิงจริง ๆ ค่ะ เพราะเมื่อเจี่ยงเฉิงจัดการตัวเองได้แล้ว เขาก็ไม่เคยคิดจะทิ้งกู้เฟยไว้กับปัญหา
มักคิดหนทาง แสดงข้อดีของกู้เฟยออกมา เมื่อเจี่ยงเฉิงทราบถึง รอยแผล นั้น ถึงจะไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะไม่อยากทำให้กู้เฟยเจ็บปวด แต่เจี่ยงเฉิงก็ไม่คิดจะนิ่งนอนใจ และมองหาหนทางพาทั้งกู้เฟยและกู้เหมี่ยวออกไปจากเมืองนี้กับตนอยู่เสมอ
ช่วงเวลาที่พีคที่สุด คงเป็นตอนที่พวกเขาจำเป็นต้องแยกกันไปเรียนคนละที่ ในช่วงเวลานั้น
กู้เฟยมองเห็นระยะห่างของตนกับเจี่ยงเฉิงด้านสังคมและความสามารถอย่างชัดเจน เขาพยายามเก็บกอดความหวังว่าจะตามอีกฝ่ายออกไปได้
พยายามพากู้เหมี่ยวหาหนทางรักษา ยิ่งทุกครั้งที่วิดีโอคอลหาเจี่ยงเฉิง และแอบสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายพยายามเพื่อตนกับน้องสาวอยู่
เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรักที่ไม่ดี และกำลังถ่วงรั้งเจี่ยงเฉิงไว้ สุดท้าย
ในตอนที่ทุกอย่างไม่เป็นตามหวัง ท่ามกลางความรู้สึกกดดันในระยะห่างนั้น กู้เฟยก็เลือกยอมแพ้
เขาเลือกทิ้งตัวเขาเองไว้ที่เมืองนี้ และปล่อยเจี่ยงเฉิงไป…เราคิดเลยค่ะว่าจุดนี้ถ้าไม่มีเจี่ยงเฉิงจะเป็นยังไง
ทางเจี่ยงเฉิงไม่ยอมแพ้ยังหาทางรักษากู้เหมี่ยว กู้เฟยตอนที่มีเจี่ยงเฉิงอยู่ข้าง
ๆ เลือกเปิดรับแฟนใหม่ของแม่เข้ามาในบ้าน
และแฟนหนุ่มคนนี้ก็กลายเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้แม่ของเขาและกู้เหมี่ยวพอจะมีหลักยึดในยามที่กู้เฟยยอมแพ้และเคว้งคว้าง
ในตอนที่เจี่ยงเฉิงยังเลือกกลับมาเพื่อน้องสาวของเขา มันทำให้เรารู้สึกว่า
ยังไงคู่นี้สุดท้ายก็ไม่มีใครอยากละทิ้งพื้นที่ข้าง ๆ กันไป แต่ติดปัญหาเดียวคือ
กู้เฟย ต้องคว้าความกล้าของตนออกมาจากอดีตอันเจ็บปวดให้ได้ เพราะเจี่ยงเฉิงหาองค์ประกอบต่าง
ๆ ที่จะสร้างโอกาสให้ได้อยู่เคียงข้างกันมาเต็มที่ที่สุดเท่าที่เด็กมหาวิทยาลัยคนหนึ่งจะหาได้แล้ว แน่นอนว่าพระอาทิตย์ดวงน้อยทำขนาดนี้ พื้นดินมั่นคงใต้น้ำแข็งฤดูหนาวผืนนั้น
ย่อมละลายรอพืชผลผลิบานในฤดูใบไม้ผลิอยู่แล้วล่ะค่ะ
ภายใต้ฟ้าพร่างดาวที่เคยฝันถึง:
สิ่งที่ชื่นชอบมาก
ๆ ในเรื่องนี้ คือ พัฒนาการตัวละครที่เคลียร์ไปตามปมปัญหาที่พวกเขาเจอค่ะ
อย่างเจี่ยงเฉิงที่ตอนแรกมาเหมือนเป็นระเบิดหนาม แต่พออ่าน ๆ ไปจะพบว่าจริง ๆ เขาเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ
มองสถานการณ์รอบด้านในวงกว้าง และเป็นที่พึงพาสามารถนำทิศทางให้คนอื่นได้อย่างดี
ซึ่งความสามารถนี้ แสดงออกอย่างโดดเด่นและชัดเจนในการเล่นบาสค่ะ เมื่อมองกลับมาที่ตัวเนื้อเรื่อง
เราก็รู้สึกว่า เด็กคนนี้ช่างเข้มแข็งอย่างแท้จริง เขาโดนทอดทิ้งจนไม่เหลือบ้าน
ชีวิตสองปีหลังนอกจากกู้เฟยกับพันจื้อ ก็มีเพียงเหล่าอาจารย์และเพื่อนร่วมห้องเป็นพลังใจ
แต่เจ้าตัวก็ฝ่าฟันมาก เดินได้อย่างมั่นคง และในตอนที่ต้องเลิกกับกู้เฟย
เราก็ได้เห็นด้านอ่อนแอ เสียหลักของเจี่ยงเฉิงอย่างรุนแรงอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ตกแรงมากจริง ๆ ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวกลับไม่ยอมแพ้ที่จะยังเดินหน้ารักษากู้เหมี่ยว…ตัวละครนี้เป็นทองล้ำค่าจริง ๆ ค่ะ เป็นอาทิตย์ดวงน้อยที่แข็งแกร่งมาก
ช่วงเวลานั้นความจริงเรียกว่าเขาไม่มีบ้านให้กลับแล้วด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังเดินหน้าต่อ เราแบบรักเขามากจริง ๆ
ขณะที่กู้เฟยเป็นคนมักคิดรายละเอียดและความเป็นไปได้
มีความเป็นผู้นำ แต่เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่เด็ดขาด เจ้าตัวคลายเป็นไม้ตายสุดท้าย
ส่วนในเวลาปกติ เขาเป็นสายสนับสนุนได้อย่างมั่นคง ละเอียด และรอบคอบ
ดูได้จากการเล่นบาสที่มักจะมองตามสิ่งที่เจี่ยงเฉิงคิด หรือชัดมากหน่อยก็ตอนที่เอ่ยตอบรับคำขอคบ
กับการดูแลเจี่ยงเฉิงหลังจากนั้นก็ได้ค่ะ เรารู้สึกว่า
เขาเป็นสายทุ่มเทแบบให้ทุกอย่างโดยไม่หวังอะไรกลับมา ขอแค่คนรักได้ดี
เขาเพียงมองอย่างภูมิใจอยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้ามีใครคิดทำร้ายขวางทางคนรักของเขา
กู้เฟยก็พร้อมกลับไปเป็นหอกอันน่ากลัวกำจัดคนเหล่านั้นให้พ้นทาง ตัวละครนี้
คิดถึงใจคนอื่นมาก โดยเฉพาะกับคนรักจึงไม่เคยเรียกร้องอะไร จนมาพัฒนามาขึ้นภายหลังเขาเลิกจากเจี่ยงเฉิง
และยอมรับว่าตนจำเป็นต้องรักษาไปพร้อมกับกู้เหมี่ยว จึงเริ่มพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น
เรียกร้องให้เฮียเฉิงอยู่กับเขาอย่างที่ใจต้องการมากขึ้น
เรารักกู้เฟยที่ทุ่มเทดูแลเจี่ยงเฉิงตั้งแต่ต้นคนนี้มาก เขาแทบจะเป็นแผ่นดินผืนหนึ่งให้เจี่ยงเฉิงได้นั่งหยุดพักยามมีปัญหา
ขณะเดียวกันก็เริ่มยอมรับพระอาทิตย์ดวงน้อย หลอมละลายตัวเอง
เพื่อให้ได้ผลิดอกออกผล อยู่ด้วยกันในฤดูอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต
หวังว่าเราจะมีความกล้าหาญเหมือนกันและกัน:
ใครอ่านแล้วเห็นประโยคทำนองนี้
น่าจะซับน้ามตาไปกับเรานะคะ ประโยคจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญกันเลยทีเดียว ในที่สุดที่ไปที่มาของชื่อเรื่องก็ปรากฎในประโยคหนึ่งหลังกู้เฟยเก็บกอดพระอาทิตย์ของเขาเอาไว้แนบอก
ว่าการได้ออกมาเริ่มต้นกับเจี่ยงเฉิง ไม่เลวเลยจริง ๆ บ้านกู้กลายเป็นครอบครัวใหญ่อีกครั้ง
การเดินทางของทั้งสามคน ทำให้เรารู้สึกปลื้มปริ่มมาก ที่ได้ข้ามผ่านเหตุการณ์ต่าง
ๆ ด้วยกันมา ถ้าให้คิดเอาเองอีกสักนิด เราแอบรู้สึกว่าวิธีคิดของเจี่ยงเฉิง คล้ายแนวคิดของนักจิตวิทยาท่านหนึ่งที่พูดประมาณว่า
ชาติกำเนิด ประสบการณ์ในอดีต หรือบาดแผล ปมในใจต่าง ๆ ไม่อาจกำหนดตัวตนในปัจจุบัน
และอนาคตเราได้ เป็นตัวเราต่างหากที่เลือกได้ ว่าจะมีอนาคตแบบไหน หรือเป็นคนแบบไหน ขณะที่ทางกู้เฟยนำเสนอแนวคิดตรงกันข้ามในบางจุด คือการที่การเติบโต บ่มเพาะ และประสบการณ์ในอดีต สามารถส่งผลถึงตัวตน
ความรู้สึกและสภาพจิตใจของเด็ก ซึ่งต่อให้เติบโตมากเท่าไร
สิ่งเหล่านั้นยังคงติดตามเป็นปมในใจ ของคนคนั้นไปด้วย ซึ่งการแก้ปัญหา หากไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียว
ก็ต้องเปิดใจรับผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย แน่นอนว่าในเรื่องนี้ ปัจจัยสำคัญของการรักษาแรก
คือตัวผู้ป่วยเอง ปัจจัยที่สองคือคนรัก และคนรอบตัว
และสุดท้ายนักจิตวิทยาถึงเข้าไปทำงานได้อย่างราบรื่น
เป็นเรื่องที่ประทับใจจริง
ๆ ค่ะ เรารู้สึกว่าเนื้อหาต่าง ๆ ถ่ายทอดและเก็บปมได้ดีกว่า Out of Tune พอสมควร เหมือนได้มาต่อยอดจากจุดของซีซีและคุณหมอเฉิน
แต่เรื่องอาชีพนี่สมเป็นคุณนักเขียนมากค่ะ การเป็นช่างภาพ ถ่ายทอดอารมณ์ด้วยภาพนี่
มีทั้งสองเรื่องเลยยยย
เล่ามาประมาณนี้ ความจริงก็เป็นความรู้สึกส่วนตัว ในเนื้อเรื่องจริง ๆ มีรายละเอียดและอารมณ์ต่าง ๆ ที่หากได้ลองสัมผัสเองน่าจะค้นพบส่วนที่ให้กรีดร้องอีกเยอะเลยค่ะ (คอนเฟิร์มจากการติดหน้าประทับใจแต่ละเล่ม มากกว่า 50 หน้าค่ะ 5555555)
ชาแดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น