>> ฉากประทับใจของเรา มันเยอะมากจริง ๆ ค่ะ งง ๆ ว่าชอบอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ต้องแยกออกมาจริง ๆ ค่ะ เหมือนบันทึกความประทับใจไว้
:
“คราวหน้าถ้าคุณมีธุระจะมาหาผมช่วยบอกผมล่วงหน้าหน่อยได้ไหม
หลังจากนี้ผมคงจะยุ่งมาก ถ้าคุณมาหาผมกระทันหันเหมือนสองครั้งที่แล้ว
ผมคงไม่มีเวลาออกมาเจอคุณ”
“ถ้านายกล้าไม่มาเจอฉันก็ลองดู
โจวเหมี่ยว ออกรถ!”
หลังรถแล่นไปไม่ถึงนาทีก็ถอยกลับมา
“ฉันเห็นศิลปินคนอื่นมีผู้ช่วย
แต่นายกลับไม่มีใครเลย เหมือนอะไรก็ไม่รู้! อู๋สุ่ย ต่อไปนายติดตามเซี่ยหยาง”
แล้วรถก็ขับออกไปอีกครั้ง
คนเขาซึนเสมอต้นเสมอปลายนะคะ
“มีผู้ช่วยสักคนสะดวกขึ้นเยอะจริง ๆ” ระหว่างพูดก็ตบเบาะรถไปด้วย
“เอารถมาจากไหนน่ะ”
“ประธานฉิวให้คุณยืมครับ โรงรถเต็มแล้ว
เขาต้องการที่ว่างเลยให้ผมขับรถคันนี้มาหาคุณ
เขาบอกว่ารถคันนี้ชำรุดทรุดโทรมที่สุดในบรรดารถทั้งหมดในโรงรถ
เหมาะกับคุณมากที่สุดแล้วครับ”
...
เซี่ยหยางหลุดหัวเราะไม่มีเสียง
เอาโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาฉิวสิง : ขอบคุณ
...
เซี่ยหยางเลือกเพิ่มเพื่อน
อีกฝั่งกดอนุมัติรวดเร็ว เขารีบโอนเงินหนึ่งหยวนไปให้
พร้อมทั้งใส่หมายเหตุเอาไว้ว่า : ค่าเช่ารถ
ฉิวสิงได้รับเงิน โมโหจนกดบล็อกเซี่ยหยาง
เซี่ยหยางกดเพิ่มเพื่อนอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉิวสิงไม่ยอมกดอนุมัติแล้ว
เซี่ยหยางวางโทรศัพท์ คุยกับอู๋สุ่ยแทน
“เจ้านายของนายนี่น่ารักชะมัด”
มีคนเริ่มเห็นความน่ารักของคุณฉิว
55555
เซี่ยหยางไม่ได้พูดอะไร เพียงใช้นิ้วคนอาหารปลาอีกครั้ง แล้วจู่ ๆ
ก็ยกนิ้วขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากแล้วแลบลิ้นเลียเบา ๆ ฉิวสิงถึงกับชะงักค้าง
ยืดตัวตรง ดึงมือของเขาเอาไว้
“ทำอะไรของนายน่ะ !”
“แค่รำลึกถึงอดีตอันขมขื่นก็เท่านั้น”
ในวันสิ้นโลกเซี่ยหยางต้องกินแม้แต่อาหารปลาแน่
ๆ ;--;
ฉิวสิงปิดฝาโน๊ตบุ๊คลง
คิ้วขมวดเข้าหากันยามมองอาหารปลาที่อยู่ตรงหน้า ...เขาค่อย ๆ
ยื่นมือไปหยิบอาหารปลาขึ้นมาจรดริมฝีปาก
เหอจวินรีบก้าวออกมข้างหน้า “บอสครับอย่า...”
ฉิวสิงหลับตาลงขณะเอาอาหารปลาเข้าปาก
ชะงักนิ่งอยู่สองวินาทีก่อนจะหันหน้าส่งเสียงถุยออกมาหลายครั้ง...
“ของนี่มันอร่อยตรงไหน รำลึกอดีตอันขมขื่น...คนปกติที่ไหนจะกินอะไรแบบนี้
ตระกูลเซี่ยจนขนาดนั้นเลยหรือไง ลูกชายกินอาหารปลาเนี่ยนะ”
ยิ่งคิดฉิวสิงยิ่งโมโห เปิดโน๊ตบุ๊คดูกล้องวงจรปิดเป็นภาพเซี่ยหยางกำลังปรึกษากับหูเปียว
ขณะปลายนิ้วเคาะโต๊ะรัว ๆ ปากก็ออกคำสั่ง
“ให้ผู้จัดการซื่อจี้ส่งของกินเข้าไปให้พวกเขาด้วย
อะไรอร่อยสั่งให้หมด ให้คนบ้านนอกคอกนาที่กินอาหารปลานี่เปิดประสบการณ์ซะบ้าง !”
...
เซี่ยหยางมองกล้องวงจรปิดอยู่ภายในห้องรับแขกเงียบ
ๆ รับอาหารวางไว้ และบอกให้ผู้จัดการกลับออกไป ก่อนเอาโทรศัพท์มากดส่งอั่งเปาไปให้ฉิวสิงหนึ่งหยวน
หมายเหตุ : อย่าแอบดู อย่าแอบฟัง
ปัง!
ฉิวสิงคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ
55555
มีความลองกินตาม แล้วชอบความรู้ทันกันมากจริง ๆ
“เก่งมากนักไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงทำหน้าโง่ ๆ แบบนั้นออกมาได้
ทำไมถึงต้องยอมให้คนอื่นรังแกขนาดนี้...ก่อนหน้านี้นายเชี่ยวชาญการพึ่งพาคนอื่นไม่ใช่เหรอ
ทำไมคราวนี้ถึงได้เงียบไป!”
หลังความโมโหผ่านไป
เขายกมือขึ้นกดศีรษะที่เริ่มวิงเวียน จู่ ๆ ก็หัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนทิ้งตัวจมลงไปในโซฟานุ่ม
ผ่อนลมหายใจ หลับตา
“ฉันไม่ได้มีแรงมากขนาดนั้น...ถ้าไม่ขอร้องฉัน ฉันก็ไม่ช่วยนาย”
เขาพึมพำในลำคอ ปล่อยโทรศัพท์ลื่นไหลลงไปบนพรม
คุณฉิวที่ปากบอกไม่สนใจ
แต่จริงถือโทรศัพท์ไว้ รอช่วยน้องตลอดเวลา (แต่ต้องขอร้องก่อนนะ...)
“ผมจะไปแต่งหน้า แต่งตัว เตรียมทำการแสดงคืนนี้แล้ว”
“งั้นเหรอ พยายามเข้าล่ะ”
ทันใดนั้น เซี่ยหยางก็ทิ้งตัวลงนั่งยอง ๆ
นิ้วมือฉิวสิงชะงักไปชั่วครู่
เงยหน้ามองเซี่ยหยางสีหน้าราบเรียบ
“อะไร”
“ไปดูการแสดงเถอะ พวกเคอหลานมีเพื่อนกับครอบครัวมาให้กำลังใจแต่ผมไม่มีเลย
ในเมืองนี่ นอกจากเพื่อนร่วมวงกับผู้จัดการแล้ว ผมก็รู้จักและสนิทกับคุณแค่คนเดียว
เพราะงั้นคุณไปดูผมแสดงเถอะนะ”
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ไปล่ะ”
“งั้นผมต้องขอร้องคุณ” เซี่ยหยางยิ้มบาง “ฉิวสิง ผมขอร้อง
ไปดูการแสดงผมนะ”
ประตูใหญ่เปิดออกและปิดลง
เซี่ยหยางออกจากบ้านไปแล้ว
ฉิวสิงวางโทรศัพท์ลง
จนผ่านไปพักใหญ่ถึงได้ขมวดคิ้วและพูดด้วยความโมโห
“ท่าทางไม่เหมือนกำลังขอร้องอยู่เลยสักนิด
ท่าทางบ้าบออะไรกัน...หลิ่วซา!”
ค่ะ… ไม่อยากไปสักนิด เจ้าตัวไม่เห็นเหมือนขอร้องเลย ... หลิ่วซาเตรียมตัวเร็ว เดี๋ยวไปเชียร์เด็กนั่นไม่ทัน
! (ยังไงนะคะ 55555)
หลังเซี่ยหยางขึ้นรถแล้ว
ฉิวสิงมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่งท่าทางเหมือนอยากถาม แต่อดทนไว้
เซี่ยหยางสั่งสอนเฟิงชิงหลินแต่กลับกลายเป็นโมโหกลับออกมาทนไม่ไหวแล้ว
“คุณรู้ไหมว่ามีประโยคหนึ่งว่าไว้
แม่ตามใจลูกมากเกินไปจะทำให้ลูกเห็นแก่ตัว...” ฉิวสิงตัวแข็งทื่อ เบือนสายตาไปนอกหน้าต่าง
“ฉันไม่ได้ตามใจเขา”
“ผู้ปกครองที่ตามใจลูกของตัวเองก็พูดแบบนี้กันทั้งนั้น”
ความจริงคุณฉิวตามใจคนสำคัญเก่งมากจริง ๆ
แอบสังเกตตั้งแต่เริ่มเปย์โน้นนี่ให้เซี่ยหยาง ไหนยังรอให้อีกฝ่ายขอร้องโน่นนี่
จะได้ทำให้ได้อีก คือถ้าเซี่ยหยางไม่บอกว่าอยากเดินเองตั้งแต่แรก คุณฉิวน่าจะพร้อมอุ้มเดินน่ะค่ะ
เซี่ยหยาง : มีคนชมว่าวันนี้ผมแต่งตัวหล่อด้วยแหละ
ผ่านไปพักใหญ่กว่าฉิวสิงจะตอบกลับมา : อย่าไปเชื่อ พวกเขาโกหกนาย
“...” ก็ได้
...จ๊ะ
ต้องยอมคุณเขานะคะ อย่าไปเชื่อคนแปลกหน้า ... แต่เสื้อน่ะ ได้ข่าวว่าสักตัดให้ด้วยตัวเอง
// ปิดปากยิ้ม//
“นายบอกว่าจะยืนข้างฉัน สองวันมานี้ฉันกำลังคิดอยู่ว่า...นายโกหกฉันหรือเปล่า”
เขาวางแก้วลงแล้วเงยหน้ามองเซี่ยหยาง
“นายกำลังหลอกฉันหรือเปล่า”
“ผมไม่ได้หลอกคุณ”
“ถ้าอย่างนั้นนอกจากฉัน นายก็ไม่มีคนอื่นให้พึ่งแล้วใช่ไหม”
“เปล่าเลย ผมพึ่งพาตัวเองได้” ไม่คิดว่าสีหน้าฉิวสิงจะดีขึ้น “ไปนอนเถอะ
ฉันไม่ทำนายตื่นแล้วล่ะ”
พูดจบก็วางมือลงบนศีรษะเซี่ยหยางเบา ๆ
ก่อนหมุนตัวจากไป
ผู้ชายคนนี้ อ่อนโยนก็เป็นด้วย
หายากจริง ๆ
นี่น่าจะเป็นจังหวะอ่อนไหวแรกของคุณฉิว เขาไม่ได้อยากให้น้องพึ่งพาตัวเองขนาดนั้น
เพราะเขากลัวตัวเองจะอยู่ปกป้องไม่ได้ ดังนั้นคำตอบที่น้องบอกว่ายืนเองได้
แม้ไม่มีคุณฉิว เขาถึงพอใจมาก ... แถมเตรียมทางหนีทีไล่ให้ด้วย Y^Y
“ไม่ต้องโมโห ผมช่วยด่าเขาให้แล้ว”
ฉิวสิงลืมตาขึ้น
“ผมช่วยสั่งสอนหลานชายของคุณ มีรางวัลให้ผมไหม”
ฉิวสิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา
หัวเราะไปหัวเราะมาสีหน้าก็อ่อนลง
“ถ้าชิงหลินฉลาดได้สักครึ่งของนาย...”
เซี่ยหยางอาศัยจังหวะนี้เสนอทันที
“งั้นหย่าไหม รับผมเป็นหลานชายคุณตอนนี้ยังทันอยู่นะ”
ฉิวสิงถึงกับชะงัก หันมองเซี่ยหยางด้วยสายตาเย็นชา ทว่าจู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา
แต่เป็นการหัวเราะที่ดูอึมครึมเอามาก ๆ
“ฉันว่าช่วงนี้ฉันคงตามใจนายมากไป...!”
ไม่อยากหย่าก็พูดตรง ๆ ค่า ไม่อยากเป็นญาติ
อยากเป็นคนรักก็บอกมาเลยคุณฉิววว
*** จบเล่ม 1 ***
“ตัดอินเทอร์เน็ตตัดไฟไม่ค่อยดีเท่าไร ทำอะไรไม่สะดวก
แต่อาสิงทำแบบนี้เพราะหวังดีกับเธอ หนุ่มสาวอดหลับอดนอนบ่อย ๆ ไม่ได้” คิดไม่ถึงว่าคุณนายฉิวจะหัวเราะ
หลังจากปลอบเซี่ยหยางประโยคหนึ่งแล้วจึงตบไหล่ฉิวสิง
“อย่าโหดนัก” ฉิวสิงนิ่งไปก่อนดึงสายตาเย็นชาเป็นน้ำแข็งที่มองเซี่ยหยางกลับมา
“ไม่โหดครับ”
ปากร้ายกับทุกคน แต่อ่อนโยนกับแม่ที่สุด คุณฉิวดูแลทุกอย่างเองหมดเวลามาเยี่ยม
ชอบฉากตัดเล็บให้แม่อีกฉากด้วยค่ะ น่ารัก
“ฉันรับปากแม่แล้วว่าปีนี้จะมาฉลองปีใหม่ด้วย...นายจะมาที่นี่กับฉันหรือกลับตระกูลเซี่ย”
เซี่ยหยางตอบแบบไม่ลังเล “มาที่นี่ครับ” เมื่อได้ยินคำตอบ ฉิวสิงถึงหันไปมองเซี่ยหยางอย่างอารมณ์ดี
ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยต่อมากลับแฝงการตักเตือน
“มาน่ะได้ แต่ห้ามฟ้องอะไรแม่อีก”
“นั่นน่ะไม่ใช่ฟ้อง เรียกว่าบอกเล่าและขอร้องแบบสมเหตุผลต่างหาก”
ฉิวสิงแค่นหัวเราะ “เถียงข้าง ๆ คู ๆ”
แอบขำคุณฉิว อยากให้น้องมาด้วย แต่ก็ไม่อยากให้น้องเอาโน่นนี่ไปฟ้องแม่
รู้ตัวว่าแม่เข้าข้างเซี่ยหยาง ตัวเองจะโดนดุแทน 55555
เขาฝืนลุกขึ้นนั่ง ดึงเข็มน้ำเกลือที่หลังมือออก ลงจากเตียงเท้าเปล่า
ก่อนเดินไปที่หน้าประตูห้อง
จะให้มู่โจวอี้สัมผัสฉิวสิงไม่ได้
...ถ้าอ้างอิงจากนิยายแล้วอาการป่วยของฉิวสิงกำเริบรุนแรงขึ้น
หลังจากไปมาหาสู่นางเอกบ่อย ๆ
จะปล่อยให้ฉิวสิง...
“ขอโทษนะคะ...แต่ว่านี่เป็นประวัติตัวละครที่ผู้กำกับสวีฝากมาให้เซี่ยหยาง
คุณฉิว คุณดูนี่สิคะ...”
“เอามาให้ผมแล้วกัน”
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือฉิวสิงที่กำลังยื่นมือออกไปหาโจวอี้
เซี่ยหยางไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน เขาฝืนใช้ร่างกายออกปวกเปียกของตัวเองวิ่งไปที่หน้าประตู
ออกแรงดึงมือฉิวสิงที่กำลังยื่นออกไปหามู่โจวอี้ ...ใช้ร่างกายบังฉิวสิงไว้จนมิด
“ใครให้คุณมา”…
“คุณชอบเฟิงชิงหลินไม่ใช่เหรอ คุณก็ควรโฟกัสความสนใจที่ตัวเขา อย่ามาแตะต้องคนของผม
ออกไป !”
เซี่ยหยางน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับฉิวสิง
เพราะตั้งแต่นางเอกนิยายเริ่มเข้ามาในวงชีวิต
เขาก็กังวลเสมอว่าจะปกป้องฉิวสิงจากพลังนางเอกยังไง ชอบฉากนี้มากเลยค่ะ ป่วยจนร่างไม่ไหวก็ยังลุกมา
“ผมดีใจมากที่ตื่นมาเจอคุณเป็นคนแรก
ฉิวสิง นี่เป็นแค่อุบัติเหตุ ผมรับรองว่าจะแข็งแรงอยู่ถึงร้อยมีเลย”
“ขอบคุณครับ”
“อีกอย่าง
คุณเองก็จะอายุยืนร้อยปีเหมือนกัน”
อาจจะเพราะเซี่ยหยางมาจากวันสิ้นโลก เขาเลยมีความหวังเสมอในการต่อสู้ให้มีชีวิตรอด
แม้จะมีความหวังเพียงนิดเดียว เขาเลยพยายามบอกฉิวสิงซ้ำ ๆ ว่าคุณจะมีชีวิตยืนยาว
และระหว่างเขาที่อยากให้ฉิวสิงอยู่กับญาติที่อยากให้ฉิวสิงตาย
น้องไม่อยากให้ฉิวสิงแคร์คนพวกนั้นอีก อยากให้เขาให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเองเป็นหลัก
;---;
เซี่ยหยางยอมทำตามอย่างว่าง่าย
ฉิวสิงหยิบไดร์เป่าผม
ระหว่างที่เซี่ยหยางแปรงฟัน เขาก็ยืนเป่าผมให้เซี่ยหยางจากด้านหลัง
ท่าทางอ่อนโยนอย่างเหนือความคาดหมาย
เซี่ยหยางส่งยิ้มให้ฉิวสิงผ่านกระจก
“ยิ้มอะไร ไข้ขึ้นจนเพี้ยนไปแล้วหรือไง”
เซี่ยหยางส่ายหน้า แปรงฟันต่อ...
เป็นฉากที่น่ารักมาก
คบกันจริงจังเมื่อไร เห็นเงาพ่อบ้านใจกล้าแล้วหนึ่ง
ในช่วงวันสิ้นโลก
เซี่ยหยางเคยอยู่กับจิตแพทย์คนหนึ่งมาพักใหญ่...เขาเคยบอกว่าหลังจากคนเราผ่านอันตรายสุดขีดมาแล้วจะยึดติดกับความหวังดีแรกที่ได้รับ
ความหวังดีแรก
เซี่ยหยางยิ้มบาง ๆ ...
ไม่หรอก
เขาไม่ได้ยึดติดกับความหวังดีแรกอะไรทั้งนั้น
เขายื่นมือออกไปหาฉิวสิง แตะที่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มเบา
ๆ
สิ่งที่เขายึดติดคือน้ำตาลกระปุกใหญ่ต่างหาก
“ชีวิตใหม่น่าเบื่อเกินไป”
“ถึงผมจะยืนด้วยตัวเองได้ แต่ความรู้สึกที่ได้มีที่พึ่งพิงก็ไม่ได้แย่
ดังนั้นพยายามมีชีวิตต่อไปเถอะนะ”
เซี่ยหยางยึดมั่นมากจริง ๆ เขาอยากให้คุณฉิวสู้ เรารู้สึกทีมเขามาก ๆ
เพราะการพยายามยืนหยัดให้ใครสักคนลุกมาสู้ไปกับตัวเอง เพื่อฝ่าฟันอุปสรรค
ใช้แรงใจเยอะมากจริง ๆ ค่ะ แล้ว น้องไม่เคยท้อ หรือโทษ ฉิวสิงเลย น้องเซี่ยแบบ ...TT
ฉิวสิงชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าเซี่ยหยาง
จู่ ๆ ก็เอาผ้าพันคอขึ้นมาพันหน้าทั้งหมดของเซี่ยหยางไว้แล้วถาม
“โกรธเหรอ” ...
“ฉันเอาของขวัญมาให้นายด้วย...เข้าบ้านก่อนเถอะ” ในที่สุดเซี่ยหยางก็ยอมขยับตัว
...
“ผมจะผ่อนผันให้ถ้าคุณสารภาพ จะเข้มงวดถ้าคุณต่อต้านปฏิเสธ และจะหย่าขาดถ้าคุณโกหก”
“นายจะแกล้งทำเป็นอ่อนโยนสักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง”
เซี่ยหยางส่งเสียงเยาะหยันออกมาจากลำคอด้วยความโมโห
เห็นเงาพ่อบ้านใจกล้าแล้วจริง ๆ ... ตอนนี้เท่าที่อ่านจบเล่มสองน้องอยู่มาตรการที่สองแล้วนะคะ
...จะเข้มงวดถ้าคุณต่อต้าน ... หวังว่าคุณฉิวจะไม่เดินไปจนถึงข้อสาม
...ไม่หรอกจริง ๆ
จู่ ๆ
ฉินเฉิงก็ถามว่า : คุณกับคุณฉิวดีกันแล้วเหรอ
เซี่ยหยางทบทวน
ก่อนพิมพ์ตอบ
เซี่ยหยาง : เปล่าครับ
เซี่ยหยาง : แต่เขากลับบ้านแล้ว
เห็นนิ่ง ๆ เก็บอารมณ์เก่ง
เหมือนไม่สนใจ แต่เซี่ยหยางรักของเขามากจริง ๆ ค่ะ ฉินเฉิงคือสังเกตเก่งมากกก
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ฉิวสิงก็เดินออกมานั่งข้าง ๆ เขา
เซี่ยหยางเอ่ยถามทั้งที่ตายังมองโทรศัพท์
“คุยกันเสร็จแล้วเหรอครับ”
ฉิวสิงไม่ได้ตอบคำถาม
สายตาว่างเปล่าเหม่อมองไร้จุดหมายอยู่นานมากกว่าจะหันมารั้งเซี่ยหยางเข้าไปในอ้อมแขน
เอาคางเกยถูไถเส้นผมของเขา ก่อนหลับตาผ่อนจังหวะหายใจราวกับคนที่หลุดพ้นจากความทุกข์
ชอบฉากนี้มาก เหมือนวงกลมความสัมพันธ์กระชับมาถึงระดับพึ่งพิงและพึ่งพากันและกันไปแล้วค่ะ
“แต่ผมกลับคิดว่าเขาเรียกถูกแล้ว”
เซี่ยหยางดึงมือออกแล้วตบหลังมืออีกฝ่ายเบา ๆ
...
“ถึงยังงความสัมพันธ์ของเราก็ยังเป็นความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจนอยู่”
“...”
“ฉิวสิง ผมรออยู่”
ชายหนุ่มนิ่งไป ก่อนหลุบตาลง หลบตาเขาเงียบ ๆ
สำหรับคนป่วยเป็นโรคร้าย เข้าใจในมุมตัวละครคุณฉิวว่าเขาลำบากใจและทุกข์ใจแค่ไหนที่จะตัดสินใจเอื้อมมือออกจากความกลัวของคำว่า
‘เวลามีจำกัด’ ออกไปหาเซี่ยหยางที่ยื่นมือพร้อมหัวใจมาให้
ที่เราโกรธไม่ใช่คุณฉิว เหมือนเซี่ยหยางที่เข้าใจมาก ๆ และเลือกที่จะยืนรอในจุดยืนตัวเองอย่างมุ่งมั่น
...ที่น่าโกรธคือญาติเหล่านั้น ที่ทำตัวได้ ...น่าตีนัก (เซี่ยหยางจัดการเลยยยย)
ฉิวสิงขมวดคิ้ว พยายามดึงมือกลับ “เซี่ยหยาง”
“ฉิวสิง คุณไม่อยากใช้เวลาสี่ปีนี้สู้เพื่อชีวิตที่ยาวนานขึ้นเลยเหรอ”
ฉิวสิงที่ดึงมือกลับถึงกับหยุดชะงัก
...
“ผมปฏิเสธข้อตกลงของคุณ” เซี่ยหยางดึงสายตากลับมา ผลักประตูรถออกกว้าง
“ผมในตอนตรุษจีนไม่ใช่สิ่งที่เอาผลประโยชน์มาแลกได้ ถ้าคุณต้องการจริง
ๆ ก็เอาคุณที่มีคำมั่นสัญญาที่ผมต้องการและความกล้าที่จะอยากมีชีวิตอยู่มาแลก”
เรา ... เราเอาใจช่วย จริง ๆ นะ เราชอบเซี่ยหยางมาก
ที่พูดตรง ๆ เสมอว่ารู้สึกยังไง คิดยังไง และชอบที่เขายืนยันเสมอว่าพร้อมสู้ไปกับคนรัก
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่อีกฝ่ายพร้อมจับมือเดินไปกับเขา แบบ ... เอาใจช่วยจริง
ๆ คุณฉิวฮึบ ๆ น้องรออยู่นะคะ
ในป่ามีกระต่ายตัวหนึ่งป่วยเป็นโรคประหลาด
มันมีนิสัยแปลกประหลาดชอบใช้ชีวิตคนเดียว อยู่มาวันหนึ่งมีนกน้อยบาดเจ็บตัวหนึ่งบุกเข้ารังของมัน
และอยู่ในนั้นไม่ยอมจากไป
กระต่ายตัวนั้นโหดร้ายกับนกน้อยมาก
ทว่ามันกลับช่วยทำแผลให้นกน้อยอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วทั้งสองก็อยู่ด้วยกันงง ๆ
พึ่งพาอาศัยกันจนผ่านฤดูหนาวหนึ่งไปได้ และพวกมันก็ค่อย ๆ ชอบอีกฝ่าย
แต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิเจ้ากระต่ายกลับใจร้ายคิดอยากจะไล่นกน้อยไปเพราะกังวลในอาการป่วยของตัวเอง
หลังจากผ่านอุปสรรคมาได้
เจ้ากระต่ายปลดล็อกปมในใจ ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือกับนกน้อยอย่างมีความสุข
นกน้อยหาอาหารมาให้เจ้ากระต่ายที่ป่วยหนักทุกวัน จากนั้นปฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เจ้ากระต่ายค่อย
ๆ หายดี และทั้งสองก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข
***จบเล่ม 2***
ยาวมากกกก ใครหลงมาถึงตรงนี้ พูดคุยฉากที่ชอบกันได้นะคะ
ชาแดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น