ระบบพึ่งพาตนเอง
ผู้เขียน 碉堡rghh
ผู้แปล อวี่หลินหลิง
ผู้วาด Chonggong
สำนักพิมพ์ Caihong
เรื่องย่อ
[ติ๊ง!]
[ระบบพึ่งพาตนเองระหว่างดวงดาวเริ่มทำงาน เป้าหมายของเราคือพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง ปฏิเสธการเกาะคนอื่นกิน โฮสต์ต้องแรกด้วยแรงกายและลงมือทำด้วยสองมือของตัวเองเท่านั้นถึงจะได้ผลลัพธ์ที่งดงามที่สุด มาทำให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้นกันเถอะ!!!]
แมงดาหมื่นปีลู่ฉี่: …
ปลาไหลหมื่นปีเสิ่นเมี่ยวผิง: …
>> แบบเวอร์มีสปอยล์น้อยย และ >> แบบเวอร์มีสปอยล์ (ปานกลาง)
>> ชวน Talk ความประทับใจในระบบพึ่งพาตนเอง โลก 1-2 (สปอยล์มาก)
ฉากประทับใจโลก 1:
รถยนต์จอดห่างออกไปประมาณหนึ่ง การประคองคนเมาทำให้ถือร่มไม่ค่อยสะดวก ลู่ฉี่จึงถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วห่อตัวฮั่วหมิงเชินไว้ในอ้อมแขนก่อนอุ้มวิ่งฝ่าสายฝนออกไป...บนรถยนต์ ร่างกายท่อนบนลู่ฉี่เปียกโชก น้ำฝนอาบไล้ลงมาถึงปลายเส้นผมขับให้ใบหน้าเขาดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ใครบางคนเอนกายนิ่ง ๆ อยู่เยาะข้างคนขับ โชคดีมีเสื้อคลุมของลู่ฉี่ นอกจากคราบน้ำมุมเสื้อแล้ว ส่วนอื่นของฮั่วหมิงเชินยังแห้งสนิท
ชอบฉากนี้มากค่ะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหม แต่เหมือนเป็นฉากหนึ่งที่บอกแต่ต้นว่า พระเอกให้ความสำคัญกับฮั่วหมิงเชินมากกว่าที่ตัวเขาคิด
ปลายสายเงียบไปสามวินาที ฮั่วหมิงเชินก็พูดทีเล่นทีจริงว่า
“ถ้าฉันบอกว่าฉันอยู่ใต้ตึกบ้านนาย นายจะเชื่อไหม”
ลู่ฉี่ตอบ
“อย่ามาล้อเล่น”
แต่ร่างกายกลับขยับลุกออกจากเก้าอี้แล้ว...เขารู้สึกมั่นใจอย่างบอกไม่ถูกว่าอีกฝ่ายอยู่ข้างล่าง
ฮั่วหมิงเชินสตาร์ตรถยนต์ เตรียมจะขับออกไป
“ถ้าล้อเล่นแล้วจะทำไป นายอย่างจริงจังนัก---”
คำพูดเหล่านั้นพลันหยุดกะทันหัน เนื่องจากเงาร่างคุ้นเคยอยู่ห่างจากกระจกรถยนต์แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น
มีความรู้ทันลึก ๆ ว่าฮั่วหมิงเชินน่าจะมาจริง ๆ แน่ ๆ แล้วทางคุณชายฮั่วก็คือมาจริง ๆ เขาคิดถึงมากจนขับรถมาเห็นแต่บ้านอีกฝ่ายก็ยังดี ;---;
“รีบดูข้างนอกสิ!” …
เมื่อเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา มนุษย์มักสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของตนเอง
ปกติลู่ฉี่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่ไม่รู้เพราะคนข้างกายหรือเหตุผลอื่น เขามองดูอย่างตั้งใจ กระชับกอดคนในอ้อมแขนแน่น เป็นช่วงเวลาที่หัวใจไร้ความปรารถนา สะอาดบริสุทธิ์อย่างหาได้ยาก
รู้สึกเอ็นดู จริง ๆ ฉากนี้และฉากก่อนหน้า ทำเราหวั่นไหวมาก และคิดว่าพระเอกเองก็หวั่นไหวเหมือนกันค่ะ คนคนนี้รักเขามากจริง ๆ สองชาติแล้ว อีกฝ่ายก็ยังหลงรักและให้หัวใจของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเหมือนเดิม
เร็วเข้า! เร็วอีก!
ลู่ฉี่ใช้มือเช็ดน้ำออกจากใบหน้า ไม่รู้ว่าเป็นคราบเลือด หยาดเหงื่อ หรือเม็ดฝนกันแน่ ร่างกายของเขาไร้ความรู้สึกไปแล้ว แม้แต่ความเจ็บปวดก็ไม่อาจรับรู้ได้ รู้เพียงแค่ว่าวิ่งไปข้างหน้าอย่างด้านชา ยิ่งวิ่งออกไปไกลเท่าไร ถนนก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งเห็นแสงสว่างไกล ๆ
ชอบจังหวะบีบคั้น น้อยมากที่จะเห็นพระเอกแนวนี้วิ่งบนความกดดันสูงสุด สุดท้ายแล้วลู่ฉี่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เก่งทุกด้าน และไม่ได้เป็นคนไร้หัวใจอย่างที่เจ้าตัวเข้าใจ
ปัง!
นาฬิกาที่เพิ่งถอดออกพลันตกลงสู่พื้น เสียงกระทบดังขึ้นแผ่วเบา
ลู่ฉี่แข่งขาอ่อนแรง ทรุกลงกับพื้น ท่าทางตกใจสุดขีด คล้ายว่ากำลังหวาดกลัวสูญเสียบางอย่าง ...เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ลู่ฉี่รู้สึกหวาดกลัว...กลัวอะไร เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ฉากนี้ อยากผลักคนขับรถคนนั้นมาก ไม่เห็นเหรอว่าเขาบาดเจ็บน่ะ! แล้วนายไม่ได้ยินเสียงปืนหรือไง! เป็นฉากต่อเนื่องที่ให้อารมณ์ดีค่ะ กดดันพระเอกจนกระทั่งเผยด้านที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นออกมา ส่วนตัวชอบมาก ๆ
“ขอแค่นายยังมีชีวิตอยู่ อะไรก็ได้”
ไม่ว่าชาติก่อน หรือชาตินี้ ลู่ฉี่ไม่เคยให้สัญญาที่ยุติธรรมเช่นนี้มาก่อน หากคนผู้นั้นต้องการทรัพย์สินทั้งหมดของเขา ก็ยังไม่ยากเท่าควักหัวใจและปอดของเขาไป แต่เขารู้แก่ใจดีว่าฮั่วหมิงเชินไม่ต้องการ
...
แม้แต่ในเวลาระหว่างความเป็นความตาย ผู้ชายคนนี้ก็ไม่พูดหวาน ๆ อย่างฉันรักนาย นายรักฉันออกมาให้ได้ยิน คล้ายว่าสมองขาดการคิดพิจารณามาตั้งแต่กำเนิด เลือดเย็นโดยแท้ หรือพูดว่าเฉลียวฉลาดเกินไปก็ได้จึงไม่ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมความคิด ทั้งนิ่งจนน่ากลัว
แต่ไม่เป็นไร ฮั่วหมิงเชินมีวิธีรักษาเขา
เห็นไหม ฮั่วหมิงเชินไม่ได้ถามลู่ฉี่ว่าชอบหรือไม่ชอบเหมือนกับคนอื่น เขาไม่ใช่คนพูดจาไร้สาระอยู่แล้ว เขาเอ่ยแค่ประโยคเดียว
“ถ้าอย่างนั้นนายเต็มใจที่จะเอาเงินทั้งหมดมาเก็บไว้ที่ฉันไหมล่ะ”
...เหมือนลู่ฉี่จะเข้าใจบางอย่างแล้ว เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมา...กระแสลมพัดผ่าน ขณะที่สายฝนโปรยปรายลงมา เขาพยักหน้าราวกับยอมรับในชะตากรรมของตนเอง
“...ฉันเต็มใจ” เขาพูด “เอาไปสิ”
ฮั่วหมิงเชินใช้เวลาสองชาติ สองชีวิต ในที่สุดก็ทำให้เลือดและหัวใจของคนผู้นี้อุ่นร้อน
คำบอกรักที่ไม่มีคำว่า “รัก” แล้วฮั่วหมิงเชินก็เข้าใจลู่ฉี่มากพอจะเลือกถามได้ตรงจุดด้วยเรื่อง “เงิน” ลูกรักพระเอกแทน 55555 เป็นอีกหนึ่งฉากที่ชอบมากเลยค่ะ
ฉากประทับใจโลกที่ 2:
ไม่มีหัวใจของผู้ใดแข็งกระด้างแต่กำเนิดทุกคนล้วนต้องเคยผ่านวัยฟุ้งซ่านมาแล้วทั้งสิ้น ก่อนอายุสิบขวบเสิ่นเมี่ยวผิงยังจดจำผู้หญิงคนนั้นได้ บางครั้งมักจะสงสัยว่ามารดาทิ้งตนเองไปแล้ว ไม่ต้องการเขาแล้ว หรือแต่งงานกับผู้ชายที่ดีกว่า และให้กำเนิดบุตรอีกคน นอกจากนี้ยังมีความคิดอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่ภายหลังเขาเพิ่งเข้าใจ ไม่ว่าเรื่องใดต้องคิดในทางที่ดี
ดังนั้นเสิ่นเมี่ยวผิงจึงคาดเดาว่ามารดาของเขาอาจจะเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปดูงาน มีเพียงสิ่งนี้ที่ช่วยบรรเทาความขุ่นเคืองในใจของเขาลง ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก
ทันใดนั้นเสิ่นเมี่ยวผิงก็รู้สึกตัว เซี่ยอวี้จือได้ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้ให้เขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทางออกของชีวิต สิ่งที่ทำได้ก็ทำแล้ว สิ่งที่คิดได้ก็คิดแล้ว
พระเอกแต่ละคนมีปมต่างกัน ถ้าคนก่อนเป็นเพราะตัวเขาเอง คนนี้ก็เป็นเพราะสังคมหล่อหลอมให้เขาเป็น เมื่อทะลุมิติมาเจอกับคนที่รักเขาอย่างจริงใจ ไม่ว่าอะไรก็คิดเผื่อเขาไว้แทบทุกอย่าง เขาถึงได้สามารถเป็นตัวเขาในแบบที่ควรจะเป็นมาตลอดได้ ;---;
กล่าวกันว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดคือกุญแจที่แน่นหนาที่สุด แต่ยังมีคำกล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา พันลี้แห่งแม่น้ำและขุนเขาไม่อาจย้อนคืน เซี่ยอวี้จืออาจสามารถต่อสู้กับคนนับล้าน แม้ต้องตายสักเก้าครั้งก็ไม่หวั่นเกรง แต่เขากลับกลัวว่าหลังตนสิ้นใจ เสิ่นเมี่ยวผิงจะมีชีวิตตกต่ำ
เซี่ยอวี้จือมีชีวิตหนึ่งวัน ก็ปกป้องเขาได้หนึ่งวัน แต่หากเสิ่นเมี่ยวออกจากบ้านสกุลเซี่ยไป หายไปต่อหน้าต่อตาเขา ก็ไม่จำเป็นต้องปกป้องชีวิตนี้อีกแล้ว...
เราเป็นคนแพ้ทางตัวละครที่มีนิสัยปกป้องคนรักแบบสุด ๆ อย่างเซี่ยอวี้จือมาก ๆ เลยค่ะ ถ้าจะขอพาดพิงอีกคน ที่ตอนอ่านทำเรานึกถึงก็คงเป็นท่านแม่ทัพกู้ จากฆ่าหมาป่าค่ะ ตัวละครสไตล์ที่พอมีคนรักแล้วถึงเริ่มให้ความสำคัญกับชีวิต เริ่มมองอนาคต ปกป้องคนของเขาเอาไว้อย่างดีที่สุด แต่ถ้าเสียคนรักไปก็แลกเลือดด้วยเลือด ส่วนชีวิตตัวเองก็ไม่สำคัญอีกแล้ว // อยากกดอิโมจิหัวใจรัว ๆๆๆ //
“...เซี่ยอวี้จือ”
เสิ่นเมี่ยวผิงเอนหลังพิงต้นไม้ ละสายตาจากศพตรงหน้า มือล้วงลึกเข้าไปในดินโคลน หางตาหรี่ลง พูดชื่อของเซี่ยอวี่จือ ออกมา ปลายเท้าที่คิดจะหนีหยุดชะงัก ราวกับสามคำนี้ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจยิ่งกว่าคำว่า ‘อมิตตาพุทธ’ เสียอีก
ความรู้สึกไม่สบายใจเป็นเรื่องแปลกสำหรับวัยนี้ นานมากแล้วที่เสิ่นเมี่ยวผิงไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครหรือสิ่งใด กระทั่งเมื่อวินาทีก่อน
สิ่งที่ชอบเวลาอ่านตัวเอกมีนิสัยไม่ดีบางอย่าง จากตนเอง หรือจากสภาพแวดล้อมแล้วเขามีพัฒนาการแก้ปมตรงได้นั้น เป็นอะไรที่เราชอบมากเลยค่ะ โดยเฉพาะการมีจังหวะให้เราสะกิดรู้แล้วว่า เนี่ยแหละ คือเหตุที่ทำให้เขาเปลี่ยนไป หรือขยี้สักจุดหนึ่งเพื่อให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาเนี่ยแหละสะสมให้คนคนนี้เป็นแบบนี้ในตอนท้าย เราชอบมากค่ะ
คล้ายว่าอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านหลัง จึงเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยอวี้จือทันที ใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นั้นเป็นสีเทา เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโคลน แต่เซี่ยอวี้จือก็ยังจำเขาได้
“เสิ่นเมี่ยวผิง...” …
“ข้าไม่ไปไหน” เสิ่นเมี่ยวผิงเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว เขาพิงกำแพงมองเซี่ยอวี้จือ พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความอวดดี ก่อนจะย้ำอีกครั้งว่า
“ข้าไม่ไปไหน” …
ลูกกระเดือกของเซี่ยอวี้จือขยับเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร สุดท้ายเสิ่นเมี่ยวผิงใช้มือยันกำแพงลุกขึ้นยืน ยกยิ้มแล้วรั้งเขาเข้าสู่อ้อมแขนเฉกเช่นหลายค่ำคืนที่ผ่านมา จากนั้นเอื้อมมือไปลูบสัมผัสแผ่นหลังของอีกฝ่ายเบา ๆ
“ไม่เป็นไร พวกเราไม่เป็นไรแล้ว”
“ข้าไม่ไปไหน และจะไม่แต่งกับผู้ใดอีก ข้าจะอยู่กับท่านไปชั่วชีวิต”
เราชอบท่อนสุดท้ายของโลกสองมาก ๆ ค่ะ ช่วงพีคหลัง ๆ มีแต่จุดที่ทำให้ชอบ แม้ว่าคนนี้จะเผยความหวั่นไหวออกมาในนาทีสำคัญ แต่เรารู้สึกได้ว่า เขาก็รักของเขามากจริง ๆ ค่ะ
555555 มายาวอีกแล้ววว ใครตามมาจนถึงตอนนี้ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะะ อ่านแล้วชอบฉากไหนกันบ้างมาคุยกันได้นะคะ ><
ชาแดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น